วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

10 เมนูอาหารญี่ปุ่น สุดเด็ด ที่ไปถึงที่ ไม่กินไม่ได้แล้ว

10 เมนูอาหารญี่ปุ่น สุดเด็ด ที่ไปถึงที่ ไม่กินไม่ได้แล้ว

ถ้าถามถึง เมนูอาหารญี่ปุ่น หลายคนคงนึกถึง ซูชิ ซาชิมิ ยากิโซบะ แต่จริงๆ อาหารญี่ปุ่นยังมีทีเด็ดอีกมาก วันนี้เราเลยขอเสนออาหารญี่ปุ่นที่ต้องกินเวลาไปญี่ปุ่น เพราะทั้งหาง่าย และได้อรรถรสสุดๆ ไปเลย

1คานิมิโสะ (Kani Miso/カニミソ)

เมนูอาหารญี่ปุ่น แรก ขอแนะนำ คานิมิโสะ (Kani Miso/カニミソ) คือมันปูปรุงรส บางร้านอาจมีผสมเนื้อปูลงไปตามแต่สูตร มีรสชาติหอมมัน ยิ่งถ้าเสิร์ฟมาในกระดองปู ย่างบนเตา โรยต้นหอม บอกเลยว่าอร่อยสุดๆ





ยิ่งถ้าคลุกกับข้าว บอกเลยว่านิพพาน กระดองเดียวไม่พอแน่นอน รสหอมมันมีความลงตัว ได้ความเค็มนิดๆ ของมิโสะ ส่งให้เมนูนี้เป็นของดีที่ไม่ควรพลาด ถ้าคุณไม่แพ้ปูและอาหารทะเล ห้ามพลาดเชียว
ราคา : ส่วนมากอยู่ที่กระดองละ 400-600 เยน
กินได้ที่ไหน : มีขายตามร้านอาหารทั่วๆ ไป โดยเฉพาะร้านแนวอิซากายะ ถ้าไม่แน่ใจดูเมนูหน้าร้านได้

2เนื้อย่าง หรือ ยากินิคุ (Yakiniku,焼き肉 / 焼肉


“อร่อยจนคนที่ไม่กินเนื้อยังเปลี่ยนใจ” ถ้าจะบอกว่านี่เป็นนิยามของ เนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่นก็คงไม่ผิดนัก (Yakiniku,焼き肉 / 焼肉) เพราะเนื้อมีคุณภาพดี อร่อยนุ่มลิ้น ย่างจนหอมเคี้ยวอร่อยจนแทบติดลม ยิ่งถ้าเป็นเนื้อวากิว เนื้อโกเบ เนื้อฮิดะยิ่งบรรเจิดเลิศล้น กินเถอะแล้วคุณจะลืมหมูกระทะเลยล่ะ
ราคา : แตกต่างตามคุณภาพเนื้อ ถ้าอยากประหยัดเซ็ดอาหารกลางวันราคาเพียง 800-1000 เยน ได้ทั้งข้าว น้ำ สลัด หรือ จะสั่งแบบเป็นจาน หรือทานในร้านบุฟเฟต์ราคาก็ไม่เหมือนกัน
กินได้ที่ไหน : ร้านเนื้อย่าง (แต่ต้องดูด้วยว่าเป็นสไตล์ญี่ปุ่นหรือเกาหลีเพราะแตกต่างกัน)

3ข้าวหน้าปลาไหล (蒲焼/kabayaki/คาบายากิ)



ปลาไหลทะเล (Unagi/ウナギ) แม้ว่าดูแล้วรูปร่างจะไม่น่ารักนักแต่พอเคลือบซอสและย่างบนเตาถ่านจนสุกหอม สีสวย กลายร่างเป็นข้าวหน้าปลาไหล (蒲焼/kabayaki/คาบายากิ) มีความหอมกรุ่นน่ารับประทานสุดๆ เป็นเมนูเด็ดที่กินที่ญี่ปุ่นยิ่งฟิน เพราะมีสูตรลับหลากหลายแตกต่างกันไปตามพื้นที่ มาแล้วต้องกินเลย
ราคา : 500-2000 เยน ต่างกันตามขนาดของปลา และปริมาณ
กินได้ที่ไหน : ร้านข้าวหน้าปลาไหล และร้านที่ขายเมนูข้าวหน้าต่างๆ

4กิวคัตสึ (Gyukatsu/牛かつ)



นอกจากเนื้อย่างแล้ว คนชอบเนื้อไม่ควรพลาด กิวคัตสึ (Gyukatsu/牛かつ) ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออกเมนูนี้ก็เหมือนหมูทอดทงคัตสึนั่นแหละ เพียงแต่เปลี่ยนหมูเป็นเนื้อ เค้าจะทอดกรอบนอก แต่ด้านในเป็นเนื้อระดับมีเดียม เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มเด็ด และข้าวกับสลัด กรอบอร่อยละลายในบากฟินมากๆ แต่หากใครไม่ชอบเนื้อดิบ เค้ามีกระทะร้อนมาให้เราอุ่นทำสุก เป็นเมนูที่ต้องลองให้ได้
ราคา : เริ่มต้นที่เซ็ตละ 1000 เยน
กินได้ที่ไหน :ร้านกิวคัตสึทั่วไป

5คูชิคัตสึ (Kushikatsu/串カツ)





คูชิคัตสึ (Kushikatsu/串カツ) ของทอดกรอบสไตล์คันไซ ของที่จะทอดมีทุกอย่างให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ ผัก ธัญพืช เนื้อสัตว์ มาชุบแป้งทอดจนกรอบเกรียว รับประทานง่ายเพลินใจ จิ้มน้ำจิ้มสูตรญี่ปุ่นก็เข้ากัน เป็นอะไรที่ไม่ควรพลาด แหล่งของ คูชิคัตสึ คืแถบคันไซ เช่นโอซาก้าเป็นต้น
ราคา : เริ่มต้นที่ไม้ละ 100เยน
กินได้ที่ไหน :ร้านคุตชิคัตสึของทอดส่วนมากอยู่แถบคันไซ

6โคร็อกเกะ(KOROKKE /コロッケ)



ครอกเก้ (Croquettes) หรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่า โคร็อกเกะ(KOROKKE /コロッケ) มันฝรั่งบดปรุงรสชุบแป้งทอด ทางที่อาจมีการผสมเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อ หรือปูลงไปเพิ่มความอร่อยให้มากยิ่งขึ้น เป็นสุดยอดแห่งความกรอบนอกนุ่มใน ยิ่งกินร้อนๆ ทอดใหม่ๆ เป็นอะไรที่ฟินมาก นอกจากจะกินเป็นสแน็ค ร้านอาหารหลายร้านยังมีเมนูนี้เป็นเครื่องเคียงอีกด้วย
ราคา : เริ่มต้นชิ้นละ 150เยน
กินได้ที่ไหน :ร้านแฟมิลี่มาร์ท ร้านของทอด และร้านอาหารทั่วไป

7ไคเซกิ (kaiseki/懐石 )



ไคเซกิ (kaiseki/懐石 ) หรือ ไคเซกิเรียวริ (kaiseki-ryōri/懐石料理) เป็นชุดอาหารสไตล์ญี่ปุ่นแบบหนึ่งที่เป็นชุดที่จัดเพื่อรับแขก ในชุดมากจะมี ซุป 1 อย่างและอาหาร 3 อย่าง มีอาหารเรียกน้ำย่อย (otooshi) อาหารทอด (agemono) อาหารนึ่ง (mushimono) สลัดแบบญี่ปุ่น (aemono) อาหารดองและอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีข้าว ซุปมิโซะ ผักดอง และผลไม้หรือของหวาน มักจะมีลำดับการกินที่แนะนำ และจะไม่เสริฟ์พร้อมกันทันทีจะมีชุดแรก และชุดที่สองทะยายมา เป็นรูปแบบที่หรูหราน่าลอง แต่ละท้องที่ก็จะมีอาหารแตกต่างกันไป
ราคา : มักอยู่ในบริการของเรียวกังรวมในแพ็คเกจที่พัก
กินได้ที่ไหน :เรียวกังสไตล์ญี่ปุ่น

8ข้าวแกงกะหรี่ (カレーライス/karē raisu)



กินที่ไทยก็ได้มั้ง!!! ตอนแรกใครหลายคนก็คิดแบบนี้ ทว่า ข้าวแกงกะหรี่ (カレーライス/karē raisu) ที่ญี่ปุ่นมีความเข้มข้น และหลากหลาย ยิ่งถ้าเป็นร้านที่ขายแกงกะหรี่โดยเฉพาะนั้นยิ่งว้าว มีเครื่องเคียงให้เลือกเยอะ มีแกงกะหรี่หลากหลาย ทั้งหมู เนื้อ บางร้านเด็ดๆ เคี่ยวเนื้อแทบละลายในปาก เป็นเมนูที่ควรชิมที่ญี่ปุ่นซักครั้ง
ราคา : 400-1000 เยน
กินได้ที่ไหน :ร้านข้าวแกงกะหรี่ ร้านอาหารญี่ปุ่นจานด่วน

9ราเมน (Ramen拉麺, ラーメン)



ราเมน (Ramen拉麺, ラーメン) ที่ญี่ปุ่นมีสูตรที่น่าสนใจหลากหลาย ทั้งราเมนซุปกระดูกหมู มิโซราเมน และอีกมากมาย แต่ละภูมิภาคก็มีสูตรที่แตกต่างกันไป ดังนั้นมาถึงญี่ปุ่นก็ควรลองซักชาม
ราคา : 500-1000 เยน
กินได้ที่ไหน :ร้านราเมน ร้านอาหารญี่ปุ่นจานด่วน

10เนื้อปู(Kani/ガニ)



ปู เป็นสิ่งที่ถ้ามีโอกาสจะต้องลิ้มลอง ที่ญี่ปุ่นมีปูหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะปูทาราบะ และปูขน เป็นที่นิยมเพราะเนื้อหวานอร่อย จะกินแบบต้ม หรือชาบู ก็เริ่ด แบบบุฟเฟต์ก็มี อร่อยสุดๆ คุ้มราคา
ราคา : แล้วแต่รูปแบบ ชนิด ขนาด
กินได้ที่ไหน :ร้านพิเศษที่จำน่ายโดยเฉพาะ ตลาดอาหารทะเล
10 เมนูอาหารญี่ปุ่น ที่เรานำเสนอในวันนี้เป็นเมนูที่หาทานง่ายที่ญี่ปุ่น และมีเอกลักษณ์ทางรสชาตืที่โดดเด่นครองใจใครหลายคน ไปเยือนญี่ปุ่นทั้งทีต้องลอง รับรองว่าฟินไม่ผิดหวัง

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สนธิสัญญากรุงโรม

สนธิสัญญากรุงโรม

 สนธิสัญญาโรม มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สนธิสัญญาจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป  เป็นความตกลงระหว่างประเทศซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1958 มีการลงนามเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1957 โดยเบลเยียมฝรั่งเศส อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์และเยอรมนีตะวันตก คำว่า "เศรษฐกิจ" ถูกลบออกจากชื่อสนธิสัญญา โดยสนธิสัญญามาสตริกต์ ใน ค.ศ. 1993 และสนธิสัญญาดังกล่าวเปลี่ยนใหม่เป็นสนธิสัญญาว่าด้วยการทำหน้าที่ของสหภาพยุโรป เมื่อสนธิสัญญาลิสบอนมามีผลใช้บังคับใน ค.ศ. 2009


ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปเสนอให้ค่อยๆ ปรับภาษีศุลกากรลดลง และจัดตั้งสหภาพศุลกากร มีการเสนอใช้จัดตั้งตลาดร่วมสินค้า แรงงาน บริการและทุนภายในรัฐสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และยังได้เสนอให้จัดตั้งนโยบายการขนส่งและเกษตรร่วมและกองทุนสังคมยุโรป สนธิสัญญายังได้ก่อตั้งคณะกรรมาธิการยุโรป

สนธิสัญญาริโอเดอจาเนโร

สนธิสัญญาริโอเดอจาเนโร
  เอิร์ธซัมมิทที่ริโอปี 2535 ถือเป็นต้นธารของกระแสความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมที่แผ่ขยายไป ทั้งโลก หรือ “โลกาภิวัตน์ด้านสิ่งแวดล้อม” และเป็นที่มาของความตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมหลายฉบับ รวมถึงกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(United Nations Framework on Climate Change Convention) และคำยอดฮิตติดอันดับซึ่งใช้กันมาจนถึงปัจจุบันและใช้ต่อกันไปในอนาคต คือคำว่า “การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development)”
แท้ที่จริงแล้วกระแสสิ่งแวดล้อมมีมาก่อนหน้าเอิร์ธซัมมิทที่ริโออย่างน้อยสองทศวรรษ โดยเฉพาะในปี 2515 ซึ่งสหประชาติจัดการประชุมระดับโลกด้านสิ่งแวดล้อมเป็นครั้งแรก ว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์(The United Nations Conference on the Human Environment) ที่กรุงสต๊อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความตื่นตัวทาง การเมืองและสาธารณะของปัญหาสิ่งแวดล้อมโลกครั้งแรก และส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประชาคมยุโรปในขณะนั้น
ในบรรดาการประชุมสุดยอดสิ่งแวดล้อมทั้งหลายในประวัติศาสตร์ “ริโอ” เป็นคำเรียกที่แพร่หลายที่สุด จากเอิร์ธซัมมิทที่ริโอปี 2535 ก็ตามมาด้วยการประชุมสุดยอด ว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน (World Summit on Sustainable Development-WSSD) ในปี 2545 ที่เมืองโยฮันเนสเบอร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ เนื่องจากเป็นกระบวนการ ที่ต่อเนื่องมาจาก “เอิร์ธซัมมิท” ที่ “ริโอ” จึงเรียกการประชุมที่เมืองโยฮันเนสเบอร์ก ว่า “ริโอ+10”
ในเดือนมิถุนายน 2555 นี้ เส้นทางว่าด้วย “การพัฒนายั่งยืน” ทุกสายจะมุ่งสู่เมืองริโอ เดอ จาเนโร อีกครั้ง จากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือที่เรียกว่า "ริโอ+20  "โดยวาระหลักนั้นมุ่งเน้นไปที่เรื่อง “เศรษฐกิจสีเขียว(Green Economy)”

แต่ทว่า ยี่สิบปีหลังจากเอิร์ทซัมมิทริโอ เรายังคงเผชิญกับสถานการณ์สองด้านที่ขัดแย้งกัน เรารู้ว่ามีทางออกที่คุ้มค่า เรารู้ว่าการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดมีเพิ่มมากขึ้น เราสามารถยุติการทำลายป่าลงได้ และโลกมีอาหารเพียงพอเลี้ยงดูทุกคน หากรัฐบาลมีเจตจำนงที่แน่วแน่ แต่ในขณะเดียวกันการพัฒนาทั้งในซีกโลกเหนือและใต้ ยังคงไม่ยั่งยืนอย่างยิ่ง

ถึงแม้ว่าเรามี "ปฎิญญาริโอ" และความตกลงพหุภาคีว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนนับร้อยฉบับ แต่การขูดรีดทรัพยากรยังเพิ่มในอัตราเร่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลายเป็นวิกฤตสุดขั้ว น้ำสะอาดหายากมากขึ้น มหาสมุทรเผชิญกับภาวะฉุกเฉิน การทำลายป่าไม้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต มลพิษแพร่กระจายเพิ่มมากขึ้น และเรากำลังเดิมพันระบบอาหารของโลกโดยปล่อยให้สิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม เข้าสู่ระบบนิเวศธรรมชาติ

รัฐบาลประเทศต่างๆ พร่ำพูดเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่กลับส่งเสริมให้เกิดการทำลายทางสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยทำการอุดหนุนงบประมาณให้กับกิจกรรมหรือโครงการพัฒนาที่ทำลายล้างไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม เชื้อเพลิงฟอสซิลไปจนถึงปุ๋ยเคมีและอุตสาหกรรมประมงขนาดใหญ่ เป็นมูลค่ารวมกันกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปีรัฐบาลยอมให้บรรษัทผู้ก่อมลพิษและอุตสาหกรรมที่มีผลกระทบ ร้ายแรงเข้าแสวงกำไรจากการขูดรีดทรัพยากร และผลักภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสังคม และสิ่งแวดล้อมให้กับประชาชน รัฐบาลเข้ากอบกู้สถาบันทางการเงินที่ละโมบซึ่งกำลัง ล้มละลาย แต่ล้มเหลวที่พลิกฟื้นโลกและดูแลคนยากจน

จำต้องกล่าวในที่นี้ว่า รัฐบาลทั้งหลายล้มเหลวนับตั้งแต่เอิร์ทซัมมิทเมื่อ 20 ปีก่อน แต่ก็ไม่ควรถูกประณามแต่โดยลำพัง ธุรกิจเอกชนมากมายได้ขัดขวางเส้นทางแห่งการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วย ตัวอย่างเช่น บริษัทเอเชียพัลแอนด์เพเพอร์(APP) ดำเนินการสวนทางกับความพยายามปกป้องป่าไม้ที่มีประสิทธิภาพในอินโดนีเซีย ในขณะที่โฟลค์สวาเกนขัดขวางต่อระเบียบกฎเกณฑ์เพื่อปกป้องสภาพภูมิอากาศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมการเงินทำให้ประชาชนผู้เสียภาษี ต้องจ่ายไปกับการตัดสินใจที่ผิดพลาด ขณะที่ขัดขวางรัฐบาลในการควบคุมตลาดการเงินให้มีประสิทธิภาพ
เมื่อเข้าประชุมเอิร์ทซัมมิทที่ริโอในปี 2555 นี้ รัฐบาลทั้งหลายจะเผชิญกับ ความอิหลักอิเหลื่อในเรื่อง “การพัฒนาที่ยั่งยืน”และคำมั่นสัญญาที่ถูกทำลาย นับตั้งแต่เอิร์ทซัมมิทที่ริโอเมื่อปี 2535 ประชาชนจะเฝ้าดูว่า "เศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน" จะเป็นเพียงโฉมหน้าใหม่ของธุรกิจที่ดำเนินไปตามปกติ หรือจะเป็นการเรียกร้องเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ที่เราต้องการจริง ๆ
เราสร้างเศรษฐกิจสีเขียวที่เท่าเทียมและเป็นธรรมให้เกิดขึ้นได้ แต่เราต้องลงมือทำการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นเรื่องจำเป็น ระบบเศรษฐกิจที่อยู่บนพื้นฐานของพลังงานนิวเคลียร์ น้ำมันและถ่านหิน วิศวะพันธุกรรม สารเคมีเป็นพิษหรือการขูดรีดทรัพยากรป่าไม้ ท้องทะเลและมหาสมุทร เกินขีดจำกัดนั้น ไม่อาจเรียกว่า “การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน” ได้เลย
เศรษฐกิจสีเขียวที่เป็นธรรมคือระบบเศรษฐกิจสรรสร้างวิถีชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน โดยเคารพต่อขีดจำกัดของธรรมชาติ พรมแดนแห่งพื้นพิภพของเรา เศรษฐกิจสีเขียวเป็นระบบที่มีกระบวนการเพื่อตอบสนองเป้าหมายทางสังคมและการพัฒนาเศรษฐกิจ
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นช้ามาก แต่ข่าวดีก็คือ เราพิสูจน์ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว บราซิลได้แสดงให้เห็นว่า เป็นไปได้ที่เราจะลดอัตราการทำลายป่าไม้ด้วยกลไกธรรมาภิบาลที่มีประสิทธิภาพและการดำเนินธุรกิจที่ดี การทำลายป่าไม้ในพื้นที่อะเมซอนของบราซิลมีอัตราลดลงปีแล้วปีเล่าและในปี 2554 เป็นปีที่มีอัตราการทำลายป่าต่ำที่สุด
แต่ปี 2555 นี้ ระบบติดตามประเมินผลของรัฐบาลบราซิลระบุว่า ในรัฐมาโตกรอสโซมีการทำลายป่าไม้เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับปี 2553 อันเป็นผลมาจากการผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายป่าไม้(forest code) กฎหมายนี้ได้เปิดให้ยกเว้นการทำผิดกฎหมายในอดีต สร้างแรงจูงใจให้เกิดกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและเกิดการทำลายป่าไม้เพิ่มมากขึ้นก่อนจะมีการรับรองกฎหมายป่าไม้ดังกล่าวด้วย
บราซิลต้องตัดสินใจว่าจะเป็นผู้นำโลกในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและยุติการทำลายป่าไม้ให้เหลือศูนย์(Zero Deforestation) หรือจะแสดงให้โลกเห็นว่า สามารถยุติการทำลายป่าไม้ลงได้แต่ล้มเหลวที่จะทำเช่นนั้นเพราะมุ่งผลประโยชน์ทางธุรกิจในระยะสั้น
มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้วในภาคพลังงานซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบเศรษฐกิจสีเขียว ตัวอย่างเช่น ในเยอรมนี กำลังผลิตไฟฟ้าที่ติดตั้งทั้งหมดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาร้อยละ 81 มาจากพลังงานหมุนเวียน แผนการปฏิวัติพลังงานของกรีนพีซแสดงให้เห็นว่าเราสามารถส่งจ่ายไฟฟ้าให้ผู้คนได้มากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจนในประเทศกำลังพัฒนา ในขณะที่ทำการลด การปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงมากกว่าร้อยละ 80 ภายในปี 2593 และยังเกิดการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น จากการลงทุนด้านประสิทธิภาพพลังงานและพลังงานหมุนเวียน แทนเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือนิวเคลียร์ โดยดำเนินการปฎิวัติพลังงาน รัฐบาลจะทำให้เกิดการจ้างงานในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา พลังงานมากกว่า 3.2 ล้านตำแหน่งภายในปี 2573
การยกร่างเอกสารที่ริโอในปี 2555 นี้ จะต้องไม่เขียน “ปฎิญญาริโอ” หรือที่รู้จักกันว่า “Agenda 21” ขึ้นมาใหม่ สิ่งที่เราต้องการเห็นมากกว่าคือทบทวนว่าเราทำอะไรไปแล้วบ้าง ต่อคำมั่นสัญญา ที่ให้ไว้และใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อความล้มเหลวที่เกิดขึ้น และชี้ให้เห็นถึงอำนาจของบรรษัท ข้ามชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างล้นเหลือซึ่งโลกได้ประจักษ์ นับตั้งแต่การประชุมสุดยอดสิ่งแวดล้อมโลกที่ริโอเมื่อสองทศวรรษก่อน

COP 24

COP 24

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ cop24

นายมีเคล กูร์ตีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมโปแลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม COP24 รวมกับนางแพททริเซีย เอสพิโนซา เลขาธิการ UNFCCC ปิดการประชุม

การประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 24 (24th Conference of the Parties of United Nations Framework Climate Change Convention) หรือ COP 24 ซึ่งมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2562 ที่เมืองคาโตวีตเซ ประเทศโปแลนด์ ได้สิ้นสุดไปแล้วหลังจากที่ต้องยืดเวลาปิดการประชุมออกไป 2 วัน เพื่อขยายระยะเวลาในการเจรจา แต่ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมายสามารถกำหนดแนวทางปฏิบัติหลักเกณฑ์ใหม่ตามข้อตกลงปารีสที่ได้ลงนามกันตั้งแต่ปี 2558 ที่ทุกประเทศให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส หรือไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ท่ามกลางการประท้วงของกลุ่มต่างๆ เป็นระยะๆ หน้าสถานที่จัดประชุม



นางแพททรีเซีย เอสพิโนซา เลขาธิการ UNFCCC กล่าวว่า ความสำเร็จของการประชุมที่โปแลนด์แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นโรดแมปนำไปสู่การแก้ไขปัญหา Climate Change รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงการกระจายความรับชอบของประเทศต่างๆ ในโลก จากข้อเท็จจริงที่ว่า แต่ละประเทศมีกำลังและความสามารถ รวมทั้งการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน และเป็นการวางพื้นฐานให้เพิ่มความมุ่งมั่นได้มากขึ้นเมื่อมีความสามารถมากขึ้น แม้ยังมีบางส่วนที่ต้องทำงานในรายละเอียดอีกต่อไป แต่นับว่ามีการวางแนวทางการดำเนินงานให้เป็นระบบ
แนวทางปฏิบัติที่การประชุม COP24 ตกลงร่วมกัน ซึ่งบางประเทศเรียกว่า ประมวลกฎเกณฑ์ (Rulebook) นี้เพื่อสนับสนุนให้ภาคีสมาชิกเร่งความพยายามมากขึ้นในการช่วยกันลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ซึ่งมีผลต่อประชากรโลกทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
นายมีเคล กูร์ตีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมโปแลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม COP24 กล่าวว่า ความสนใจของผู้เข้าประชุมทุกกลุ่มนำมาสู่ แผน Katowice Package ที่อยู่บนแนวทางความยั่งยืน แต่ที่สำคัญคือมีผลดีต่อโลก นับว่าเรามีก้าวย่างสำคัญที่จะบรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีส
กฎเกณฑ์หลักๆของKatowice Packageได้แก่ กรอบการปฏิบัติที่โปร่งใส เพื่อส่งเสริมความไว้วางใจระหว่างประเทศภาคีสมาชิก ในการดำเนินการแก้ไขปัญหา Climate Change โดยกำหนดแนวทางของประเทศภาคีในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนปฏิบัติ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรการในการลดผลกระทบ
ทั้งนี้ ประเทศภาคีสมาชิกจะใช้แนวทางเดียวกันในการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดทำรายงาน และการยืนยันความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เนื่องจากเป็นแนวทางที่มั่นใจได้ว่าทุกประเทศมีการดำเนินการตามมาตรฐานและไม่มีการเบี้ยวข้อตกลง นอกจากนี้ยังเป็นแนวทางที่เปิดให้ประเทศยากจนสามารถให้เหตุผลและนำเสนอแผนให้สอดคล้องกับกำลังความสามารถได้ หากไม่มั่นใจว่าจะทำได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ ได้กำหนดแนวทางเพื่อเป้าหมายใหม่ของการระดมเงิน โดยเริ่มจากปี 2025 จะระดมเงินมากขึ้นจากที่วางไว้ว่าจะระดมเงินปีละ 100 พันล้านดอลลาร์ ไปจนถึงปี 2020
ที่ประชุมยังตกลงที่จะให้ทุกประเทศประเมินผลและประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา Climate Change ร่วมกันในปี 2023 รวมถึงแนวทางการติดตามและการรายงานความคืบหน้าของการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี
แม้ประสบความสำเร็จในการกำหนดกรอบการปฏิบัติขึ้น แต่ที่ประชุมไม่ประสบความสำเร็จในการขอให้ภาคีสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุม ให้การยอมรับ (welcome) ผลงานวิจัย ชื่อว่า Global Warming of 1.5°C ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ด้วยการสนับสนุนของสหประชาชาติได้ เนื่องจากมีประเทศใหญ่ 4 ประเทศคัดค้าน

4 ประเทศค้านไม่ยอมรับรายงาน IPCC

ก่อนการประชุมเริ่มขึ้น สหประชาชาติได้เผยแพร่รายงาน Emissions Gap Report 2018 ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นรายงานที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจน เพื่อกระตุ้นเตือนให้กับรัฐบาลและนักการเมืองของทุกประเทศเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือที่จะดำเนินการตามข้อตกลงให้บรรลุเป้าหมาย
สหประชาชาติตั้งใจที่จะนำรายงาน Emissions Gap Report 2018 และรายงาน Global Warming of 1.5°C ของ IPCC ซึ่งเผยแพร่ไปในเดือนตุลาคม มานำเสนอร่วมในการประชุม COP 24 ครั้งนี้ด้วย เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจที่เข้าร่วมประชุมนำไปปรับใช้ และเพื่อเตรียมส่งต่อไปยังการประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปี 2019
สำนักข่าวบีบีซี รายงานเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2561 ว่า ความตั้งใจที่จะนำรายงานของ IPCC เข้าสู่ที่ประชุมไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีหลายประเทศคัดค้าน ทั้งสหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และคูเวต
รายงาน IPCC ได้เปิดตัวมาแล้วที่เกาหลีใต้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างความตระหนักให้ผู้นำและฝ่ายการเมืองของปลายประเทศ เนื่องจากรายงาน Global Warming of 1.5°C มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบ ความเสี่ยงที่จะเกิดในอนาคต และทางเลือกในการแก้ไข
สหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และคูเวต คัดค้านไม่ให้ที่ประชุมยอมรับรายงานฉบับนี้ ตามที่มัลดีฟซึ่งเป็นประธานกลุ่มพันธมิตรประเทศที่เป็นเกาะได้เสนอ จากแรงสนับสนุนของ 47 ประเทศในสหภาพยุโรป แอฟริกา ลาตินอเมริกา และอเมริกาใต้ โดยทั้ง 4 ประเทศให้ที่ประชุมเพียงแค่บันทึก (take note of) ไว้ว่ามีรายงานฉบับนี้เท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ซาอุดีอาระเบียยืนความเห็นคัดค้านจนวินาทีสุดท้ายในการเปิดรายงานฉบับนี้ที่เกาหลี เพื่อให้จำกัดบทสรุปของรายงาน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนั้น จึงได้มาคัดค้านอีกครั้งในการประชุม COP 24
การคัดค้านของทั้ง 4 ประเทศซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องเจรจาหารือเพื่อที่จะสรรหาคำที่ทุกฝ่ายเห็นพ้อง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปจากที่ประชุม ส่งผลให้ต้องถอนคำว่ายอมรับออกไปตามกฎของสหประชาชาติ เนื่องจากที่ประชุมไม่สามารถลงฉันทามติได้ ทำให้หลายประเทศสมาชิกแสดงความไม่พอใจและผิดหวังกับผลที่ออกมา
Ruenna Haynes จากประเทศเซนต์คิตส์และเนวิส (Saint Kitts and Nevis) กล่าวว่า ไม่ใช่ประเด็นที่ว่า “จะใช้คำนี้หรือคำไหน แต่เป็นเรื่องที่ว่าเรา หรือ UNFCCC อยู่ในสถานะที่จะยอมรับรายงานที่เราเป็นฝ่ายขอให้จัดทำขึ้นและเชิญนักวิทยาศาสตร์มาร่วมตั้งแต่แรก หากจะมีอะไรที่ทำให้การถกเถียงนี้เป็นสิ่งน่าอาย ก็คือการที่เราไม่ยอมรับรายงานฉบับนี้”
คำพูดของ Haynes เรียกเสียงปรบมือกึกก้องจากที่ประชุม ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์และผู้ร่วมรณรงค์ต่างผิดหวังอย่างมากกับผลที่ออกมาก โดย Yamide Dagnet จาก World Resources Institute ให้ความเห็นว่า “เราโกรธมาก เพราะเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากที่บางประเทศยกเลิกข้อความและละเลยต่อผลที่จะตามมา ด้วยการไม่ยอมรับในสิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนและไม่ดำเนินการใดๆ ” แต่ก็หวังว่าประเทศอื่นๆ จะร่วมกันผลักดัน ซึ่งจะให้มีการตัดสินใจที่ตอบสนองต่อรายงาน และไม่ทำให้ COP 24 เป็นการประชุมที่เสียเปล่า
ผู้เข้าร่วมประชุมหลายคนให้ข้อมูลว่า ในการเปิดตัวรายงานที่เกาหลีเดือนตุลาคม ทั้งซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนรายงาน Global Warming of 1.5°C ซึ่งซาอุดีอาระเบียไม่สามารถปฏิเสธข้อมูลทางกายภาพได้ว่า สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง
เอกสารกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะบันทึกว่ามีรายงาน และขอชื่นชมนักวิทยาศาสตร์ที่ได้จัดทำรายงานชิ้นนี้ขึ้น หากยอมรับก็เป็นการรับรองรายงานฉบับนี้ เพราะนั่นหมายถึงว่า การรับรองรายงานฉบับนี้ และที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้แสดงความชัดเจนต่อ IPCC และองค์กรอื่นแล้วว่า สหรัฐฯ จะไม่รับรองผลการศึกษาของรายงานนี้
การที่ที่ประชุมไม่สามารถให้ความเห็นยอมรับรายงาน Global Warming of 1.5°C ก็จะทำให้หลายประเทศละเลยผลการศึกษาของรายงาน IPCC มากขึ้น ทั้งๆ ที่รายงานระบุว่า การจำกัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่ให้เพิ่มขึ้นเกินระดับ 1.5 องศาเซลเซียสนั้น ต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนและต้องทำในสิ่งไม่เคยทำมาก่อนในทุกแง่มุมของสังคม
อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าประชุมก็หวังว่าการประชุมในสัปดาห์ที่สองซึ่งจะมีผู้นำระดับรัฐมนตรีของหลายประเทศที่จะมาเข้าร่วมประชุมในวันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม จะให้ความสำคัญและพยายามมากขึ้นที่จะนำรายงานนี้กลับเข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง

ประเทศส่วนใหญ่ยังห่างเป้าลดอุณหภูมิ

สำหรับรายงานEmissions Gap Report 2018 ที่เปิดเผยก่อนการประชุม COP 24 นั้นจัดทำบนพื้นฐานรายงาน Global Warming of 1.5°C ของ IPCC ที่ประเมินผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ครั้งที่ 9 เพื่อเปรียบเทียบระดับการปล่อยก๊าซภายใต้การดำเนินการอย่างเต็มที่และไม่มีเงื่อนไข ระดับการปล่อยก๊าซภายใต้การดำเนินการอย่างเต็มที่แต่มีเงื่อนไขเทียบกับการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDC) ซึ่งเป็นพันธสัญญาของแต่ละประเทศ เพื่อทบทวนและติดตามผล รวมทั้งความสม่ำเสมอ เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส หรือไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
NDC เป็นพันธสัญญาของแต่ละประเทศ เพื่อทบทวนและติดตามผลการดำเนินงานตามกรอบ UNFCCC
ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่ยังห่างไกลจากเป้าหมาย (emission gap) ตามที่ข้อตกลงปารีสได้วางไว้ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ดำเนินการในขณะนี้ และเป้าหมายที่จะต้องไปให้ถึง และการมีส่วนร่วมของประเทศที่ให้ไว้ ไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายในปี 2030 แม้ในทางเทคนิคมีความเป็นไปได้ที่จะลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสตามเป้าหมาย แต่โอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายไม่ให้การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกเกิน 1.5 องศาเซลเซียสนั้นน้อยมาก หากประเทศที่กำหนด NDC ไม่เพิ่มความมุ่งมั่นให้ได้ก่อนปี 2030
ดร.กุนนาร์ ลุดเดอเรอร์ จาก Potsdam Institute หนึ่งในผู้เขียนรายงานฉบับนี้กล่าวว่า “ยังมีช่องว่างกันมากระหว่างคำพูดกับการกระทำ ระหว่างเป้าหมายที่ตกลงกันของรัฐบาลทั่วโลกในการที่จะรักษาสภาพภูมิอากาศและมาตรการที่จะบรรลุเป้าหมาย”
ประเทศภาคีต้องเพิ่มความตั้งใจและมุ่งมั่น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายของชาติเพื่อลดการเพิ่มอุณหภูมิตามเป้าหมายของข้อตกลงปารีส เพราะนโยบายแห่งชาติมีความสำคัญในการที่จะแปลงความมุ่งมั่นเป็นการกระทำ และทุกประเทศจะต้องเพิ่มความพยายามความมุ่งมั่นให้มากขึ้นถึง 5 เท่า เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะไม่ให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพราะขณะนี้โลกกำลังอยู่บนเส้นทางที่จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 3.2 องศาเซลเซียสเมื่อสิ้นศตวรรษนี้
การเพิ่มความมุ่งมั่นในบริบทนี้ อาจเป็นการผสมผสานระหว่างการตั้งเป้าหมาย การเตรียมพร้อมที่ปฏิบัติ และเพิ่มความสามารถที่จะลดก๊าซเรือนกระจกให้ต่อเนื่อง
รายงาน Emissions Gap 2018 ระบุว่า จากการประเมินกลุ่มประเทศ G-20 ส่วนใหญ่กำลังดำเนินการไปสู่เป้าหมายปี 2020 ที่ให้ไว้ แต่มีหลายประเทศยังไม่ได้เริ่มดำเนินการตามคำมั่นที่ให้ไว้เพื่อบรรลุเป้าหมายปี 2030 แต่มีบางประเทศที่ดำเนินการไปแล้วและยังห่างไกลจากเป้าหมาย NDC ของปี 2030 เช่น อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แคนาดา สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา มีเพียง บราซิล จีน และญี่ปุ่นเท่านั้นที่การดำเนินการเป็นไปตามแผน ขณะที่ อินเดีย รัสเซีย และตุรกี มีทีท่าว่าจะทำได้สำเร็จก่อนกำหนด อย่างไรก็ตามรายงานเชื่อว่าประเทศที่บรรลุเป้าหมายนั้น เป็นเพราะวางเป้าไว้ต่ำ



Cites

Cites

อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์
 (อังกฤษ: Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) หรือเรียกโดยย่อว่า ไซเตส (CITES) และเป็นที่รู้จักในชื่อ อนุสัญญากรุงวอชิงตัน (Washington Convention) เป็นสนธิสัญญาซึ่งเริ่มใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2518

ในปี พ.ศ. 2516 สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) ได้จัดการประชุมนานาชาติขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อร่างอนุสัญญาดังกล่าว มีผู้เข้าร่วมประชุม 88 ประเทศ แต่มีผู้ลงนามรับรองอนุสัญญาฉบับนี้ทันทีเพียง 22 ประเทศ สำหรับประเทศไทยได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมด้วย แต่มาลงนามรับรองอนุสัญญาในปี พ.ศ. 2518 และให้สัตยาบันในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2526 นับเป็นสมาชิกลำดับที่ 80 ปัจจุบัน ไซเตสมีภาคีทั้งสิ้น 181 รัฐ (ณ พฤษภาคม 2558)
เป้าหมายของไซเตส คือ การอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าและพืชที่ใกล้จะสูญพันธุ์หรือถูกคุกคาม ทำให้ปริมาณร่อยหรอจนอาจเป็นเหตุให้สูญพันธุ์ วิธีการอนุรักษ์กระทำโดยการสร้างเครือข่ายทั่วโลกในการควบคุมการค้าระหว่างประเทศ (International Trade) ทั้งสัตว์ป่า พืชป่า และผลิตภัณฑ์ ไซเตสไม่ควบคุมการค้าภายในประเทศสำหรับชนิดพันธุ์ท้องถิ่น (Native Species)
การค้าสัตว์ป่า พืชป่า และผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศ จะถูกควบคุมโดยระบบใบอนุญาต (Permit) ซึ่งสัตว์ป่าและพืชป่าที่อนุสัญญาควบคุมจะต้องมีใบอนุญาตในการนำเข้า (Import) ส่งออก (Export) นำผ่าน (Transit) และส่งกลับออกไป (Re-Export) โดยชนิดพันธุ์ของสัตว์ป่าและพืชป่าที่อนุสัญญาควบคุม จะระบุไว้ในบัญชีหมายเลข 1, 2, 3 (Appendix I, II, III) ของอนุสัญญา

สนธิสัญญาโตเกียว

สนธิสัญญาโตเกียว

        ต่อท้ายอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) กำหนดพันธกรณีผูกพันต่อประเทศอุตสาหกรรมให้ลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก UNFCCC เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งมีเป้าหมายเพื่อบรรลุ "เสถียรภาพความเข้มข้นของแก๊สเรือนกระจกในบรรยากาศที่ระดับซึ่งจะป้องกันการรบกวนอันตรายจากน้ำมือมนุษย์กับระบบภูมิอากาศ"

พิธีสารเกียวโตมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2540 ในเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และมามีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2548 จนถึงเดือนกันยายน 2554 มี 191 รัฐลงนามและให้สัตยาบันพิธีสารฯ สหรัฐอเมริกาลงนามแต่มิได้ให้สัตยาบันพิธีสารฯ และแคนาดาถอนตัวจากพิธีสารฯ ในปี 2554 รัฐสมาชิกสหประชาชาติอื่นซึ่งมิได้ให้สัตยาบันพิธีสารฯ ได้แก่ อัฟกานิสถาน อันดอร์ราและเซาท์ซูดาน

ภายใต้พิธีสารฯ 37 ประเทศอุตสาหกรรม และประชาคมยุโรปในขณะนั้น ("ภาคีภาคผนวกที่ 1") ผูกมัดตนเองให้จำกัดหรือลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกสี่ชนิด (คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์และซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์) และแก๊สสองกลุ่ม (ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอนและเพอร์ฟลูออโรคาร์บอน) รัฐสมาชิกทุกรัฐให้พันธกรณีทั่วไป การจำกัดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกนี้ไม่รวมการปล่อยจากการบินและการเดินเรือระหว่างประเทศ

ที่การเจรจา ประเทศภาคผนวกที่ 1 ตกลงร่วมกันจะลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกลงโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.2 ในระยะปี 2551-2555 เป็นสัดส่วนกับการปล่อยแก๊สเรือนกระจกต่อปีในปีฐาน ซึ่งโดยปกติใช้ปี 2533 เนื่องจากสหรัฐอเมริกามิได้ให้สัตยาบันในสนธิสัญญา การปล่อยแก๊สเรือนกระจกร่วมกันของประเทศภาคผนวกที่ 1 พิธีสารเกียวโตลดลงจากต่ำกว่าปีฐานร้อยละ 5.2 เหลือร้อยละ 4.2

ระดับการปล่อยในปี 2533 มาตรฐานที่รับรองโดยการประชุมภาคี UNFCCC (decision 2/CP.3) คือค่าของ "ศักยภาพโลกร้อน" (global warming potential) ซึ่งคำนวณแก่รายงานการประเมินฉบับที่สองของ IPCC ตัวเลขเหล่านี้ถูกใช้เพื่อเปลี่ยนการปล่อยแก๊สเรือนกระจกหลายชนิดเป็นค่าสมมูลคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้เมื่อคำนวณจากแหล่งและแหล่งกักเก็บ (sink) ทั้งหมด
พิธีสารฯ อนุญาตให้มี "กลไกยืดหยุ่น" หลายข้อ เช่น การค้าขายแลกเปลี่ยนก๊าซเรือนกระจก กลไกการพัฒนาที่สะอาด และการดำเนินการร่วมกันเพื่อให้ประเทศภาคผนวกที่ 1 สามารถรักษาการจำกัดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกโดยการซื้อเครดิตลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจกจากที่อื่น ผ่านการแลกเปลี่ยนทางการเงิน โครงการซึ่งลดการปล่อยในประเทศนอกภาคผนวกที่ 1 จากประเทศอื่นในภาคผนวกที่ 1 หรือจากประเทศภาคผนวกที่ 1 ซึ่งมีเงินช่วยเหลือเกิน
ประเทศภาคผนวกที่ 1 แต่ละประเทศถูกกำหนดให้ต้องส่งรายงานประจำปีแสดงบัญชีการปล่อยแก๊สเรือนกระจกจากน้ำมือมนุษย์จากแหล่งต่าง ๆ และการนำออกจากแหล่งกักเก็บภายใต้ UNFCCC และพิธีสารเกียวโต ประเทศเหล่านี้เสนอชื่อบุคคลเพื่อสร้างและจัดการบัญชีแก๊สเรือนกระจกของประเทศนั้น ๆ เรียกว่า "หน่วยงานผู้มีอำนาจของรัฐ" (designated national authority) แทบทุกประเทศนอกภาคผนวกที่ 1 ยังได้ตั้งหน่วยงานผู้มีอนำาจของรัฐเพื่อจัดการข้อผูกมัดตามพิธีสารเกียวโตด้วย หรือโดยเฉพาะ "ขบวนการกลไกพัฒนาที่สะอาด" ซึ่งกำหนดว่าโครงการแก๊สเรือนกระจกใดที่ต้องการเสนอเพื่อให้ได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการบริหารกลไกการพัฒนาที่สะอาดที่การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่โดฮาในปี 2555 ภาคีพิธีสารเกียวโต ตกลงระยะผูกมัดการลดการปล่อยที่สองตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 ถึง 31 ธันวาคม 2563 ซึ่งเกิดขึ้นในรูปของการแก้ไขพิธีสารฯ 37 ประเทศซึ่งมีเป้าหมายผูกพันในระยะผูกมัดที่สอง ได้แก่ ออสเตรเลีย รัฐสมาชิกสหภาพยุโรปทุกรัฐ เบลารุส โครเอเชีย ไอซ์แลนด์ คาซัคสถาน นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์และยูเครน เมื่อรวมกันแล้ว ประเทศเหล่านี้จะลดการปล่อยร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับระดับเมื่อปี 2533 ระหว่างปี 2556-2563 เป้าหมายอาจปรับเพิ่มขึ้นในปี 2557 เป้าหมายการปล่อยที่ระบุไว้ในระยะผูกมัดที่สองจะมีผลต่อการปล่อยแก๊สเรือนกระจกของโลกราวร้อยละ 15 ภาคีภาคผนวกที่ 1 หลายรัฐซึ่งเข้าร่วมในพิธีสารเกียวโตรอบแรกมิได้รับเป้าหมายใหม่ในระยะผูกมัดที่สอง ได้แก่ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และรัสเซีย ภาคีภาคผนวกที่ 1 อื่นซึ่งไม่มีเป้าหมายรอบสอง ได้แก่ สหรัฐอเมริกา (ซึ่งไม่เคยเป็นสมาชิกของพิธีสารฯ) และแคนาดา (ซึ่งถอนตัวจากพิธีสารเกียวโต มีผลบังคับปี 2555)