วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

COP 24

COP 24

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ cop24

นายมีเคล กูร์ตีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมโปแลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม COP24 รวมกับนางแพททริเซีย เอสพิโนซา เลขาธิการ UNFCCC ปิดการประชุม

การประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 24 (24th Conference of the Parties of United Nations Framework Climate Change Convention) หรือ COP 24 ซึ่งมีขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2562 ที่เมืองคาโตวีตเซ ประเทศโปแลนด์ ได้สิ้นสุดไปแล้วหลังจากที่ต้องยืดเวลาปิดการประชุมออกไป 2 วัน เพื่อขยายระยะเวลาในการเจรจา แต่ในที่สุดก็บรรลุเป้าหมายสามารถกำหนดแนวทางปฏิบัติหลักเกณฑ์ใหม่ตามข้อตกลงปารีสที่ได้ลงนามกันตั้งแต่ปี 2558 ที่ทุกประเทศให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส หรือไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ท่ามกลางการประท้วงของกลุ่มต่างๆ เป็นระยะๆ หน้าสถานที่จัดประชุม



นางแพททรีเซีย เอสพิโนซา เลขาธิการ UNFCCC กล่าวว่า ความสำเร็จของการประชุมที่โปแลนด์แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของข้อตกลงปารีส ซึ่งเป็นโรดแมปนำไปสู่การแก้ไขปัญหา Climate Change รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงการกระจายความรับชอบของประเทศต่างๆ ในโลก จากข้อเท็จจริงที่ว่า แต่ละประเทศมีกำลังและความสามารถ รวมทั้งการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน และเป็นการวางพื้นฐานให้เพิ่มความมุ่งมั่นได้มากขึ้นเมื่อมีความสามารถมากขึ้น แม้ยังมีบางส่วนที่ต้องทำงานในรายละเอียดอีกต่อไป แต่นับว่ามีการวางแนวทางการดำเนินงานให้เป็นระบบ
แนวทางปฏิบัติที่การประชุม COP24 ตกลงร่วมกัน ซึ่งบางประเทศเรียกว่า ประมวลกฎเกณฑ์ (Rulebook) นี้เพื่อสนับสนุนให้ภาคีสมาชิกเร่งความพยายามมากขึ้นในการช่วยกันลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก ซึ่งมีผลต่อประชากรโลกทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง
นายมีเคล กูร์ตีกา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมโปแลนด์ ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุม COP24 กล่าวว่า ความสนใจของผู้เข้าประชุมทุกกลุ่มนำมาสู่ แผน Katowice Package ที่อยู่บนแนวทางความยั่งยืน แต่ที่สำคัญคือมีผลดีต่อโลก นับว่าเรามีก้าวย่างสำคัญที่จะบรรลุเป้าหมายของข้อตกลงปารีส
กฎเกณฑ์หลักๆของKatowice Packageได้แก่ กรอบการปฏิบัติที่โปร่งใส เพื่อส่งเสริมความไว้วางใจระหว่างประเทศภาคีสมาชิก ในการดำเนินการแก้ไขปัญหา Climate Change โดยกำหนดแนวทางของประเทศภาคีในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนปฏิบัติ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมาตรการในการลดผลกระทบ
ทั้งนี้ ประเทศภาคีสมาชิกจะใช้แนวทางเดียวกันในการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดทำรายงาน และการยืนยันความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เนื่องจากเป็นแนวทางที่มั่นใจได้ว่าทุกประเทศมีการดำเนินการตามมาตรฐานและไม่มีการเบี้ยวข้อตกลง นอกจากนี้ยังเป็นแนวทางที่เปิดให้ประเทศยากจนสามารถให้เหตุผลและนำเสนอแผนให้สอดคล้องกับกำลังความสามารถได้ หากไม่มั่นใจว่าจะทำได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ ได้กำหนดแนวทางเพื่อเป้าหมายใหม่ของการระดมเงิน โดยเริ่มจากปี 2025 จะระดมเงินมากขึ้นจากที่วางไว้ว่าจะระดมเงินปีละ 100 พันล้านดอลลาร์ ไปจนถึงปี 2020
ที่ประชุมยังตกลงที่จะให้ทุกประเทศประเมินผลและประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหา Climate Change ร่วมกันในปี 2023 รวมถึงแนวทางการติดตามและการรายงานความคืบหน้าของการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี
แม้ประสบความสำเร็จในการกำหนดกรอบการปฏิบัติขึ้น แต่ที่ประชุมไม่ประสบความสำเร็จในการขอให้ภาคีสมาชิกที่เข้าร่วมการประชุม ให้การยอมรับ (welcome) ผลงานวิจัย ชื่อว่า Global Warming of 1.5°C ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ด้วยการสนับสนุนของสหประชาชาติได้ เนื่องจากมีประเทศใหญ่ 4 ประเทศคัดค้าน

4 ประเทศค้านไม่ยอมรับรายงาน IPCC

ก่อนการประชุมเริ่มขึ้น สหประชาชาติได้เผยแพร่รายงาน Emissions Gap Report 2018 ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นรายงานที่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นถึงผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจน เพื่อกระตุ้นเตือนให้กับรัฐบาลและนักการเมืองของทุกประเทศเห็นถึงความสำคัญของความร่วมมือที่จะดำเนินการตามข้อตกลงให้บรรลุเป้าหมาย
สหประชาชาติตั้งใจที่จะนำรายงาน Emissions Gap Report 2018 และรายงาน Global Warming of 1.5°C ของ IPCC ซึ่งเผยแพร่ไปในเดือนตุลาคม มานำเสนอร่วมในการประชุม COP 24 ครั้งนี้ด้วย เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจที่เข้าร่วมประชุมนำไปปรับใช้ และเพื่อเตรียมส่งต่อไปยังการประชุมสุดยอดว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปี 2019
สำนักข่าวบีบีซี รายงานเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2561 ว่า ความตั้งใจที่จะนำรายงานของ IPCC เข้าสู่ที่ประชุมไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากมีหลายประเทศคัดค้าน ทั้งสหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และคูเวต
รายงาน IPCC ได้เปิดตัวมาแล้วที่เกาหลีใต้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้สร้างความตระหนักให้ผู้นำและฝ่ายการเมืองของปลายประเทศ เนื่องจากรายงาน Global Warming of 1.5°C มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบ ความเสี่ยงที่จะเกิดในอนาคต และทางเลือกในการแก้ไข
สหรัฐอเมริกา ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย และคูเวต คัดค้านไม่ให้ที่ประชุมยอมรับรายงานฉบับนี้ ตามที่มัลดีฟซึ่งเป็นประธานกลุ่มพันธมิตรประเทศที่เป็นเกาะได้เสนอ จากแรงสนับสนุนของ 47 ประเทศในสหภาพยุโรป แอฟริกา ลาตินอเมริกา และอเมริกาใต้ โดยทั้ง 4 ประเทศให้ที่ประชุมเพียงแค่บันทึก (take note of) ไว้ว่ามีรายงานฉบับนี้เท่านั้น โดยก่อนหน้านี้ซาอุดีอาระเบียยืนความเห็นคัดค้านจนวินาทีสุดท้ายในการเปิดรายงานฉบับนี้ที่เกาหลี เพื่อให้จำกัดบทสรุปของรายงาน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในครั้งนั้น จึงได้มาคัดค้านอีกครั้งในการประชุม COP 24
การคัดค้านของทั้ง 4 ประเทศซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ของโลก ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องเจรจาหารือเพื่อที่จะสรรหาคำที่ทุกฝ่ายเห็นพ้อง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปจากที่ประชุม ส่งผลให้ต้องถอนคำว่ายอมรับออกไปตามกฎของสหประชาชาติ เนื่องจากที่ประชุมไม่สามารถลงฉันทามติได้ ทำให้หลายประเทศสมาชิกแสดงความไม่พอใจและผิดหวังกับผลที่ออกมา
Ruenna Haynes จากประเทศเซนต์คิตส์และเนวิส (Saint Kitts and Nevis) กล่าวว่า ไม่ใช่ประเด็นที่ว่า “จะใช้คำนี้หรือคำไหน แต่เป็นเรื่องที่ว่าเรา หรือ UNFCCC อยู่ในสถานะที่จะยอมรับรายงานที่เราเป็นฝ่ายขอให้จัดทำขึ้นและเชิญนักวิทยาศาสตร์มาร่วมตั้งแต่แรก หากจะมีอะไรที่ทำให้การถกเถียงนี้เป็นสิ่งน่าอาย ก็คือการที่เราไม่ยอมรับรายงานฉบับนี้”
คำพูดของ Haynes เรียกเสียงปรบมือกึกก้องจากที่ประชุม ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์และผู้ร่วมรณรงค์ต่างผิดหวังอย่างมากกับผลที่ออกมาก โดย Yamide Dagnet จาก World Resources Institute ให้ความเห็นว่า “เราโกรธมาก เพราะเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากที่บางประเทศยกเลิกข้อความและละเลยต่อผลที่จะตามมา ด้วยการไม่ยอมรับในสิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนและไม่ดำเนินการใดๆ ” แต่ก็หวังว่าประเทศอื่นๆ จะร่วมกันผลักดัน ซึ่งจะให้มีการตัดสินใจที่ตอบสนองต่อรายงาน และไม่ทำให้ COP 24 เป็นการประชุมที่เสียเปล่า
ผู้เข้าร่วมประชุมหลายคนให้ข้อมูลว่า ในการเปิดตัวรายงานที่เกาหลีเดือนตุลาคม ทั้งซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุนรายงาน Global Warming of 1.5°C ซึ่งซาอุดีอาระเบียไม่สามารถปฏิเสธข้อมูลทางกายภาพได้ว่า สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง
เอกสารกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะบันทึกว่ามีรายงาน และขอชื่นชมนักวิทยาศาสตร์ที่ได้จัดทำรายงานชิ้นนี้ขึ้น หากยอมรับก็เป็นการรับรองรายงานฉบับนี้ เพราะนั่นหมายถึงว่า การรับรองรายงานฉบับนี้ และที่ผ่านมาสหรัฐฯ ได้แสดงความชัดเจนต่อ IPCC และองค์กรอื่นแล้วว่า สหรัฐฯ จะไม่รับรองผลการศึกษาของรายงานนี้
การที่ที่ประชุมไม่สามารถให้ความเห็นยอมรับรายงาน Global Warming of 1.5°C ก็จะทำให้หลายประเทศละเลยผลการศึกษาของรายงาน IPCC มากขึ้น ทั้งๆ ที่รายงานระบุว่า การจำกัดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศไม่ให้เพิ่มขึ้นเกินระดับ 1.5 องศาเซลเซียสนั้น ต้องมีการดำเนินการอย่างเร่งด่วนและต้องทำในสิ่งไม่เคยทำมาก่อนในทุกแง่มุมของสังคม
อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าประชุมก็หวังว่าการประชุมในสัปดาห์ที่สองซึ่งจะมีผู้นำระดับรัฐมนตรีของหลายประเทศที่จะมาเข้าร่วมประชุมในวันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม จะให้ความสำคัญและพยายามมากขึ้นที่จะนำรายงานนี้กลับเข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง

ประเทศส่วนใหญ่ยังห่างเป้าลดอุณหภูมิ

สำหรับรายงานEmissions Gap Report 2018 ที่เปิดเผยก่อนการประชุม COP 24 นั้นจัดทำบนพื้นฐานรายงาน Global Warming of 1.5°C ของ IPCC ที่ประเมินผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ครั้งที่ 9 เพื่อเปรียบเทียบระดับการปล่อยก๊าซภายใต้การดำเนินการอย่างเต็มที่และไม่มีเงื่อนไข ระดับการปล่อยก๊าซภายใต้การดำเนินการอย่างเต็มที่แต่มีเงื่อนไขเทียบกับการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDC) ซึ่งเป็นพันธสัญญาของแต่ละประเทศ เพื่อทบทวนและติดตามผล รวมทั้งความสม่ำเสมอ เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส หรือไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
NDC เป็นพันธสัญญาของแต่ละประเทศ เพื่อทบทวนและติดตามผลการดำเนินงานตามกรอบ UNFCCC
ผลการศึกษาพบว่า ส่วนใหญ่ยังห่างไกลจากเป้าหมาย (emission gap) ตามที่ข้อตกลงปารีสได้วางไว้ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ดำเนินการในขณะนี้ และเป้าหมายที่จะต้องไปให้ถึง และการมีส่วนร่วมของประเทศที่ให้ไว้ ไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายในปี 2030 แม้ในทางเทคนิคมีความเป็นไปได้ที่จะลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสตามเป้าหมาย แต่โอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายไม่ให้การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกเกิน 1.5 องศาเซลเซียสนั้นน้อยมาก หากประเทศที่กำหนด NDC ไม่เพิ่มความมุ่งมั่นให้ได้ก่อนปี 2030
ดร.กุนนาร์ ลุดเดอเรอร์ จาก Potsdam Institute หนึ่งในผู้เขียนรายงานฉบับนี้กล่าวว่า “ยังมีช่องว่างกันมากระหว่างคำพูดกับการกระทำ ระหว่างเป้าหมายที่ตกลงกันของรัฐบาลทั่วโลกในการที่จะรักษาสภาพภูมิอากาศและมาตรการที่จะบรรลุเป้าหมาย”
ประเทศภาคีต้องเพิ่มความตั้งใจและมุ่งมั่น รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายของชาติเพื่อลดการเพิ่มอุณหภูมิตามเป้าหมายของข้อตกลงปารีส เพราะนโยบายแห่งชาติมีความสำคัญในการที่จะแปลงความมุ่งมั่นเป็นการกระทำ และทุกประเทศจะต้องเพิ่มความพยายามความมุ่งมั่นให้มากขึ้นถึง 5 เท่า เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะไม่ให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เพราะขณะนี้โลกกำลังอยู่บนเส้นทางที่จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น 3.2 องศาเซลเซียสเมื่อสิ้นศตวรรษนี้
การเพิ่มความมุ่งมั่นในบริบทนี้ อาจเป็นการผสมผสานระหว่างการตั้งเป้าหมาย การเตรียมพร้อมที่ปฏิบัติ และเพิ่มความสามารถที่จะลดก๊าซเรือนกระจกให้ต่อเนื่อง
รายงาน Emissions Gap 2018 ระบุว่า จากการประเมินกลุ่มประเทศ G-20 ส่วนใหญ่กำลังดำเนินการไปสู่เป้าหมายปี 2020 ที่ให้ไว้ แต่มีหลายประเทศยังไม่ได้เริ่มดำเนินการตามคำมั่นที่ให้ไว้เพื่อบรรลุเป้าหมายปี 2030 แต่มีบางประเทศที่ดำเนินการไปแล้วและยังห่างไกลจากเป้าหมาย NDC ของปี 2030 เช่น อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย แคนาดา สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา มีเพียง บราซิล จีน และญี่ปุ่นเท่านั้นที่การดำเนินการเป็นไปตามแผน ขณะที่ อินเดีย รัสเซีย และตุรกี มีทีท่าว่าจะทำได้สำเร็จก่อนกำหนด อย่างไรก็ตามรายงานเชื่อว่าประเทศที่บรรลุเป้าหมายนั้น เป็นเพราะวางเป้าไว้ต่ำ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น